นอกจากจะเจ็บป่วยทางกายแล้ว เรายังต้องรับมือกับปัญหาทางการเงินอีกด้วย ทุกครั้งที่ไปหาหมอ กระเป๋าเงินของเราก็จะว่างเปล่า เราควรทำอย่างไรเมื่อประกันสุขภาพที่บริษัทจัดให้ไม่เพียงพอ?
ที่จริงแล้ว คนทำงานอย่างเรามีทางเลือกโดยการซื้อประกัน OPD เพิ่มเติมเพื่อป้องกันปัญหานี้
ประกัน OPD คืออะไร?
“ถ้าป่วยหรือไม่สบายก็เข้ารับการรักษาได้ แต่ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล”
ประกัน OPD คือ ประกันสุขภาพสำหรับผู้ป่วยนอก (OPD – Out Patient Department) ความหมายของผู้ป่วยนอก คือ ผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลแต่สามารถกลับบ้านได้ทันทีโดยไม่ต้องนอนโรงพยาบาล
ประกัน OPD สำคัญแค่ไหน และคุ้มครองการรักษาแบบใดบ้าง
“ถ้าป่วยหรือไม่สบาย ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายอีกต่อไป”
คนทำงานหลายคนมองข้ามประกัน OPD ซึ่งหมายความว่าเมื่อเจ็บป่วยก็ต้องเสียเงินเพิ่มเพื่อเข้าโรงพยาบาลหรือแม้แต่ซื้อยามารักษาตัวเอง ค่ารักษาพยาบาลทำให้หลายคนต้องเสียเงินเป็นพันบาทต่อปี บางคนเสียเป็นหมื่นบาท เงินเก็บก็หมดเกลี้ยงเพราะเจ็บป่วย หรือบางคนแย่กว่านั้นคือเป็นหนี้เพราะต้องหาเงินมาจ่ายค่ารักษาพยาบาล
ประกัน OPD ให้ความคุ้มครองกรณีที่เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลไม่ถึง 6 ชั่วโมง หรือไม่ต้องนอนโรงพยาบาล เพียงพบแพทย์ ตรวจวินิจฉัย และรับยา จากนั้นก็กลับบ้านได้ หรือในกรณีที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย เช่น อุบัติเหตุเล็กน้อย หกล้ม ข้อเท้าพลิก บาดแผลจากการถูกของมีคม ไข้หวัด ปวดหัว เป็นไข้ เจ็บคอ ไอ แพ้ ฯลฯ
ดังนั้นหากเรามีประกัน OPD เมื่อเจ็บป่วย เราก็ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายอีกต่อไป เราสามารถไปโรงพยาบาลใกล้บ้านและเข้ารับการรักษาได้ทันที
บริษัทมีสวัสดิการอยู่แล้ว แล้วทำไมเราถึงต้องมีประกัน OPD ล่ะ
“ถึงบริษัทจะมีประกันสุขภาพกลุ่มอยู่แล้ว แต่อาจไม่เพียงพอ”
ประกันสุขภาพของบริษัทส่วนใหญ่จะเป็นประกันสุขภาพกลุ่ม ซึ่งเป็นประกันที่เราได้รับจากนายจ้างหรือบริษัทที่เราทำงานอยู่ ข้อดีคือเราไม่ต้องจ่ายเงินเอง แถมยังมีความคุ้มครองสำหรับสิ่งที่จำเป็นส่วนใหญ่แล้ว แต่ปัญหาคือค่ารักษาพยาบาลในกรณี OPD นั้นน้อยมาก เช่น บางบริษัทให้ความคุ้มครอง OPD ครั้งละ 500 บาทสำหรับพนักงาน หากเป็นหวัด เข้าโรงพยาบาล และต้องกินยา 500 บาท คิดว่าจะพอไหม? และหากป่วยด้วยโรคร้ายแรงอื่นๆ คนทำงานอย่างเราจะต้องจ่ายเงินเพิ่มอีกเท่าไร?
อย่าลืมว่าทุกวันนี้คนทำงานทุกคนมีความเสี่ยง เพราะโอกาสเจ็บป่วยหรือเจ็บป่วยจากการทำงานมีสูงอยู่แล้ว ดังนั้นค่ารักษาพยาบาลจึงเป็นสิ่งที่เราต้องวางแผน การมีประกัน OPD จะช่วยให้คุณรับมือกับค่าใช้จ่ายเหล่านี้ได้e.
ถ้าเรามีประกันสังคมแล้วสามารถใช้ร่วมกับประกันสุขภาพของบริษัทได้หรือไม่
ได้ แต่ผู้เอาประกันต้องมีประกันสังคมตามมาตรา 33 การมีประกันสังคมก็คล้ายๆ กับการมีประกันสุขภาพกับบริษัทประกัน เพราะผู้เอาประกันจะได้รับสิทธิประโยชน์และความคุ้มครองต่างๆ เช่น เจ็บป่วย คลอดบุตร ทุพพลภาพ เสียชีวิต ค่าเลี้ยงดูบุตร ชราภาพ และว่างงาน
เงื่อนไขคือสามารถชำระค่ารักษาพยาบาลได้โดยใช้สิทธิประกันสุขภาพกลุ่มร่วมกับประกันสังคม แต่ต้องเป็นโรงพยาบาลเดียวกับที่ระบุในสิทธิประกันสังคมเท่านั้น
ใช้ได้ทั้งค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอก (OPD) แต่ถ้าประกันสุขภาพและประกันสังคมของบริษัทไม่ครอบคลุมค่าใช้จ่าย ผู้จ่ายจะต้องโอนส่วนต่างนั้นเข้าประกันสังคม
แม้การใช้ประกันสุขภาพแบบกลุ่มและประกันสังคมควบคู่กันจะช่วยลดภาระค่ารักษาพยาบาลได้ แต่ก็อาจไม่เพียงพอต่อผู้ที่ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลหรือเข้ารับการผ่าตัด เช่น ผู้ป่วยใน
หากเราเลือกได้ เราในฐานะคนทำงานต้องการประกัน OPD แบบใด
“อยากได้ประกัน OPD ที่คุ้มค่า ครอบคลุม อุ่นใจ เหมาะกับการใช้ชีวิตของคนทำงาน”
ปัญหาของประกัน OPD ส่วนใหญ่ที่ขายตามท้องตลาดคือส่วนใหญ่จะกำหนดจำนวนครั้งต่อปีและจำนวนเงินที่ต้องไปแต่ละครั้งไว้ เช่น วงเงิน 1,000 บาท ถ้าเราป่วยแล้วไปโรงพยาบาลเอกชนใกล้บ้านก็หมดสิทธิ์ และถ้ากำหนดจำนวนครั้งไปอีก บางปีเราป่วยบ่อย ก็อาจจะต้องจ่ายเงินเกินวงเงินและเกินวงเงินที่กำหนด
“อยากได้ประกัน OPD ที่ไม่จำกัดจำนวนครั้งและไม่จำกัดจำนวนเงินที่ต้องไปพบแพทย์ต่อครั้ง”
จำนวนครั้งอาจไม่ใช่ประเด็นหลัก แต่จำนวนเงินต่อครั้งสำคัญมาก เพราะทุกครั้งที่ไปหาหมอ อาจมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างมาก หากมีประกัน OPD ที่กำหนดจำนวนเงินต่อปีไว้แล้ว ทุกครั้งที่ไปหาหมอก็จะคำนวณค่าใช้จ่ายจริงให้ ไม่ต้องเป็นกังวล เช่น
สมมุติว่าประกัน OPD ของเรามีวงเงินคุ้มครองต่อปี 12,000 บาท เราป่วยแล้วไปหาหมอ ครั้งนี้ค่าใช้จ่าย 3,500 บาท ซึ่งสามารถหักออกจากวงเงินคุ้มครองต่อปีได้ เราก็จะไม่ต้องจ่ายเพิ่ม วงเงินคุ้มครองต่อปีที่เหลือคือ 8,500 บาท
แต่ถ้าเราใช้ประกัน OPD ทั่วไปที่แอดมินก็ใช้อยู่ด้วย ก็จะมีวงเงินคุ้มครองครั้งละ 1,000 บาท และถ้ามี OPD ของบริษัทเพิ่มอีก 500 บาท (รวมเป็น 1,500 บาท) ก็ยังไม่ครอบคลุมค่าใช้จ่าย 3,500 บาท ยังไงก็ต้องเสียเงินเพิ่มอีก 2,000 บาทเอง
อีกอย่างนึงคือขออย่าให้มีเงื่อนไขหรือข้อยกเว้นเยอะจนสับสนเวลาต้องใช้ประกัน เพราะเวลาเราป่วยหรือเป็นอย่างนี้ก็ไม่อยากแปลกใจที่ประกันที่ซื้อไว้ไม่คุ้มครอง ทำให้ต้องเสียเงินเพิ่ม ถ้าทำแล้วไม่ครบต้องเสียเงินเพิ่มแบบนี้แสดงว่าไม่ตอบโจทย์คนทำงานแน่นอน
สรุป
แล้วถ้าเราเข้าใจและรู้ถึงประโยชน์ของประกันสุขภาพกลุ่มของบริษัทเราและรวมประกันสังคมด้วยจะพอหรือเปล่า
ถ้าอยากซื้อประกันสุขภาพเพิ่มเพื่อป้องกันความเสี่ยงก็จะรู้ว่าควรซื้อเท่าไร ซึ่งดีกว่าซื้อประกันมากเกินไปหรือมากเกินความจำเป็น อย่างน้อยการคิดแบบนี้ก็ช่วยให้เราประหยัดทั้งค่ารักษาพยาบาลที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตและเบี้ยประกันสุขภาพที่ต้องจ่ายแต่ละเดือนได้h year.