ประกันสุขภาพ หรือ ประกันสุขภาพ คือ ประกันภัยที่เกิดจากการเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ เช่น หกล้ม เคล็ดขัดยอก หรือแขนหรือขาหัก เป็นต้น บริษัทประกันภัย (ที่เรามีอยู่) จะต้องทำสัญญาชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกัน (ซึ่งก็คือเรานั่นเอง)
หากเราพูดถึงคำจำกัดความของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (หรือเรียกย่อๆ ว่า
OIC
) ก็จะกล่าวว่า “
ประกันสุขภาพ คือ ประกันภัยที่บริษัทประกันภัยตกลงชดใช้ค่ารักษาพยาบาลที่เกิดขึ้นจากการรักษาพยาบาลของผู้เอาประกัน ไม่ว่าค่ารักษาพยาบาลนั้นจะเกิดจากการเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บจากอุบัติเหตุของผู้เอาประกันก็ตาม”
สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้ระบุว่า ประกันสุขภาพแบ่งออกเป็น 2 ประเภท
ได้แก่ ประกันอุบัติเหตุและสุขภาพแบบกลุ่ม และประกันอุบัติเหตุและสุขภาพแบบรายบุคคล ทั้งสองประเภทให้ความคุ้มครองเหมือนกัน
ผลประโยชน์หรือความคุ้มครองที่เราจะได้รับมีดังนี้ เช่น ค่ารักษาตัวในโรงพยาบาล ค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุ ค่ารักษาพยาบาลจากการผ่าตัด ค่ารักษาพยาบาลที่คลินิก ค่าคลอดบุตร ค่าทำฟัน ค่าชดเชยค่าใช้จ่าย ฯลฯ
ประกันสุขภาพมีกี่ประเภท อะไรบ้าง
1.
ประกันสุขภาพผู้ป่วยนอก (OPD – Out Patient Department)
“ป่วยหรือไม่สบายก็ไปรักษาตัวได้ ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล”
คำว่าผู้ป่วยนอก หมายถึง ผู้ป่วยที่ต้องนอนโรงพยาบาลแต่สามารถกลับบ้านได้ทันทีโดยไม่ต้องนอนโรงพยาบาล ส่วนประกันสุขภาพผู้ป่วยนอกจะให้ความคุ้มครองกรณีที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลไม่เกิน 6 ชั่วโมง หรือไม่ต้องนอนโรงพยาบาล เพียงพบแพทย์ ตรวจวินิจฉัย แล้วรับยา จากนั้นก็กลับบ้านได้ หรือกรณีบาดเจ็บเล็กน้อย เช่น อุบัติเหตุเล็กน้อย หกล้ม ข้อเท้าพลิก บาดแผลถูกของมีคม ไข้หวัด ปวดหัว มีไข้ เจ็บคอ ไอ แพ้ ฯลฯ
2.
ประกันสุขภาพผู้ป่วยใน (IPD – In Patient Department)
“ป่วย ไม่สบาย ไปรักษาตัวแต่ต้องนอนโรงพยาบาล”
ความหมายของคำว่า inpatient คือ ผู้ป่วยที่ต้องนอนโรงพยาบาลแต่ต้องนอนโรงพยาบาลเกิน 6 ชั่วโมง สำหรับประกันสุขภาพผู้ป่วยใน คือ แผนประกันสุขภาพที่กำหนดให้ผู้เอาประกันต้องลงทะเบียนเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมง และต้องได้รับการวินิจฉัยและคำแนะนำจากแพทย์ก่อน รวมถึงต้องนอนโรงพยาบาลแต่เสียชีวิตก่อน 6 ชั่วโมง
3.
ประกันสุขภาพผู้ป่วยหนัก (ECIR – Enhanced Critical Illness Rider)
“โรคร้ายแรง เช่น โรคหัวใจ มะเร็ง และโรคหลอดเลือดสมอง เป็นโรคที่ต้องรักษาเป็นเวลานานและมีค่าใช้จ่ายในการรักษาสูง”
ประกันสุขภาพที่มีอยู่ในปัจจุบันอาจไม่เพียงพอ จึงมีประกันสุขภาพสำหรับโรคร้ายแรง เพื่อให้ความคุ้มครองโรคร้ายแรงที่ต้องได้รับการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ประกันประเภทนี้จะระบุในกรมธรรม์ว่าจะจ่ายค่าโรคอะไร เมื่อตรวจพบหรือเป็นโรคร้ายแรงระดับใด อย่างไร เป็นต้น
4.
ประกันสุขภาพสำหรับอุบัติเหตุ (PA – Personal Accident Insurance)
“คุ้มครองอุบัติเหตุหรือเสียชีวิต”
เป็นประกันที่ให้ความคุ้มครองในกรณีเกิดอุบัติเหตุและการบาดเจ็บ ไม่ว่าจะเป็นการบาดเจ็บเล็กน้อยจนถึงขั้นพิการหรือเสียชีวิต บริษัทประกันจะเป็นผู้รับผิดชอบในการชดเชยค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการรักษาของเรา และหากเป็นร้ายแรงจนทำให้สูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพ หรือเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ บริษัทประกันจะต้องจ่ายค่าชดเชยให้เรา
5.
ประกันสุขภาพทดแทนรายได้
“หากเกิดอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วยและต้องนอนโรงพยาบาล คุณจะได้รับเงินชดเชยรายได้ด้วย”
เป็นประกันที่ให้ความคุ้มครองรายได้ระหว่างการรักษาตัวในโรงพยาบาล บริษัทประกันจะชดเชยให้คุณเป็นรายวัน โดยจำนวนเงินนี้จะเป็นการชดเชยรายได้ของคุณในกรณีที่คุณไม่สามารถทำงานได้เนื่องจากต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล โดยรายละเอียดจะแตกต่างกันไปในแต่ละกรมธรรม์ เช่น วันละ 300, 500 หรือ 1,000 บาท ส่วนจำนวนเงินชดเชยรายได้นั้นจะขึ้นอยู่กับเบี้ยประกันที่คุณจ่ายในแต่ละปี (ยิ่งจ่ายมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้รับเงินชดเชยต่อวันมากขึ้นเท่านั้น) อย่างไรก็ตาม หากคุณมีงานประจำและมีเงินเดือนประจำ คุณอาจไม่จำเป็นต้องเลือกแผนประกันที่ต้องชำระเบี้ยประกันรายปีเพื่อให้ได้เงินชดเชยในจำนวนสูง
แล้วเราควรซื้อประกันสุขภาพแบบไหนดี และเหมาะกับคุณอย่างไร
ประกันสุขภาพส่วนใหญ่ที่มีขายในท้องตลาดนั้นมักจะเป็นแบบผสม เช่น IPD, OPD, PA หรือ Income Compensation ซึ่งประเภทของประกันสุขภาพจะขึ้นอยู่กับความเสี่ยง ความคุ้มครองที่เราต้องการ และราคาที่เราจ่ายได้ เพราะคนทำงานแต่ละคนอาจมีปัจจัยในการตัดสินใจที่แตกต่างกัน
ในบทความนี้ แอดมินขอเสนอแนวทางง่ายๆ เพื่อเป็นเกณฑ์ในการพิจารณาซื้อประกันสุขภาพ ดังนี้
ไลฟ์สไตล์ การกิน การใช้ชีวิต การเดินทาง และการใช้ชีวิตของเรามีมากน้อยแค่ไหนe sick.